หลายท่านอาจจะเคยได้ยินการศึกษาที่เรียนว่า "สะเต็มศึกษา (STEM Education)" โดยคำว่า STEM ย่อมาจากตัวอักษะในสาขาวิชาหลักๆ 4 วิชาได้แก่ S = Science, T = Technology, E = Engineering, และ M = Mathematics ซึ่งคำว่า STEM ในความหมายภาษาอังกฤษแปลว่า “ต้นกำเนิด” ดังนั้นในแนวคิดของด้านการศึกษา STEM ในที่นี้ก็เปรียบเสมือนกับ “ต้นกำเนิดในการสร้างนวัตกรรม” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศที่มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน
คำว่า STEM ถูกใช้ครั้งแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
(the National Science Foundation: NSF) ซึ่งใช้คำนี้เพื่ออ้างถึงโครงการหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์
อย่างไรก็ตามสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ให้นิยามที่ชัดเจนของคำว่า
STEM มีผลให้มีการใช้และให้ความหมายของคำนี้แตกต่างกันไป
ด้วยสาเหตุนี้
ในการเรียนการสอนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสะเต็มศึกษาพอสมควร
เพราะอาจจะเข้าใจว่าจะต้องเรียนออกมาแบบเน้น “ วิชาการ”
ที่ต้องการสูตรคณิตศาสตร์ที่ยากๆ หรือต้องเก่งคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว สะเต็มศึกษา คือ
แนวทางการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสามารถบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ไปใช้ในการเชื่อมโยงและแก้ปัญหา
ในชีวิตจริง
ดังนั้น สะเต็มศึกษาจึงเน้นไปที่ “การบูรณาการการเรียนรู้ที่ไม่เน้นเพียงการท่องจำทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์
และคณิตศาสตร์ (เพื่อไปใช้สอบ) แต่เป็นการสร้างความเข้าใจทฤษฎีหรือกฎเหล่านั้นผ่าน
1) การปฏิบัติให้เห็นจริงควบคู่กับการพัฒนาทักษะการคิด ตั้งคำถาม แก้ปัญหาและการหาข้อมูลและวิเคราะห์ข้อค้นพบใหม่ๆ
พร้อมทั้งสามารถนำข้อค้นพบนั้นไปใช้หรือบูรณาการกับชีวิตประจำวันได้จริง
สะเต็มศึกษาจึงส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมหรือโครงงานที่มุ่งแก้ปัญหาที่พบเห็นในชีวิตจริง ซึ่งการทำงานประเภทแบบกิจกรรมจึงต้องการทักษะที่มากกว่าองค์ความรู้ด้านคณิตศาสตร๋หรือวิทยาศาสตร์
เช่นทักษะการติดต่อสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นทีม ทักษะความคิดสร้างสรรค์
ด้วยสาเหตุดังกล่าว
หลายสำนักคิดจึงเปลี่ยนจากคำว่า STEM ไปเป็นคำว่า STEAM
โดยเพิ่มตัว A ซึ่งก็คือ Art เข้ามาด้วย
ซึ่งในโลกความเป็นจริง ทักษะด้าน STEM มีความจำเป็นต่อทุกอาชีพหรือเปล่า อาชีพที่เป็นสายมนุษย์ สายศิลปะ
ต้องใช้ทักษะ STEM ทั้งสิ้นเนื่องจากการเรียนในแต่ละวิชาจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันดังนี้
ซึ่งพอดูแล้วจะเห็นได้ว่า
นอกจากองค์ความรู้ที่เป็นทักษะเฉพาะแล้ว ผลลัพธ์จากการเรียนแบบ STEM จะมุ่งเน้นในการสร้างทักษะประเภท 4C ซึ่งก็คือ 1) การคิดวิเคราะห์
(Critical Thinking), 2)
การทำงานร่วมกัน (Collaboration), 3) การติดต่อสื่อสาร (Communication),
และ 4) การมีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ยกตัวอย่างเช่น
การเรียนแพทย์ที่แต่เดิมอาจจะเรียนแค่วิชาทางการแพทย์เท่านั้น แต่ในการทำงานจริงแพทย์กลับต้องใช้ทักษะการสื่อสาร
(Communication
Skill) และ ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal skill) ในการติดต่อกับคนไข้,
หรือในกรณีของวิศวกรที่แต่เดิมจะเรียนเฉพาะวิชาด้านวิศวกรรมศาสตร์อย่างเดียว
แต่ในการทำงานจริงวิศวกรกลับต้องพึ่งพาทักษะในการบริการจัดการทีม (Team
Management) เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่อาชีพยอดฮิตในปัจจุบันอย่าง
“นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) นอกจากจะต้องมีทักษะด้านคอมพิวเตอร์และสถิติแล้ว
ยังต้องมีทักษะด้านการตลาดเพื่อเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคด้วยเช่นกัน สาขาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์เดิมปัจจุบันก็แปลงไปสู่การเรียนผ่าน
EduTech มากขึ้น หรือแม้กระทั่งในสายศิลปะทีต้องเกี่ยวข้องกับการออกแบบและการ
Design เองในปัจจุบันล้วนมีเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์มาช่วยทั้งสิ้น
ทั้งนี้เราไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นๆ
อยากเป็นวิศวกรแค่ไหน ถึงต้องมาเลือกเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยม ถ้าในต่างประเทศ
กว่าเด็กจะเลือกเรียนที่จะเป็นอะไร บางทีก็จบชั้น ปี 2 ในมหาวิทยาลัยเข้าไปแล้ว
ไม่มีใครต้องมาเลือกเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยม
และไม่มีประเทศไหนที่มีการแบ่งสายวิทย์สายศิลป์
หรือแบ่งห้องตามเกรดเหมือกับประเทศไทย เพราะการทำงานจริง
คุณไม่ได้เลือกว่าจะต้องทำงานกับคนเก่งเหมือนตัวเองเท่านั้น
แต่ทั้งนี้
ถ้าเด็กบางคนอยากเน้นหนักไปที่การเป็นนวัตกรทางด้านวิทยาศาสตร์
โรงเรียนก็อาจจะจัดเป็นชมรม หรือวิชาในลักษณะของ After School Program ได้
อย่างไรก็ดี ปัญหาหลักของการจัดการศึกษาแบบ
STEM
ในทุกประเทศทั่วโลก ภายใต้ปัญหาความเหลื่อมล้ำนั้น
นอกเหนือจากการขาดแคลนอุปกรณ์และทรัพยากรที่จำเป็นต่อการเรียนการสอนในลักษณะของ STEM
นี้แล้ว แต่มันยังรวมไปถึง การขาดแคลนบุคลากร ทั้งในเชิงปริมาณ
เชิงคุณภาพ และที่สำคัญคือการขาดแคลนในเชิงของ Mindset ของครูและผู้บริหารโรงเรียนที่มักชินกับระบบการสอนแบบเดิมๆ
และเชื่อแบบเดิมๆ
ทั้งนี้จากงานศึกษาของเราที่ทำให้กับทาง
สสส. พบว่า
ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และเหลื่อมล้ำด้านพื้นที่เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของเด็กไทย
และแน่นอนว่า เราไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นรากเง้าของประเทศไทยนี้ได้
แต่ทั้งนี้ งานศึกษาของเราก็ยังมีการนำเสนอข้อเสนอแนะอยู่บ้าง
ดังนั้นในการขาดแคลนคงต้องดูว่า
เป็นการขาดแคลนในด้านใด เป็นการขาดแคลนด้านอุปสงค์หรือด้านอุปทาน
เพราะแต่ละการขาดแคลนจะมีวิธีการบริหารที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเป็นการขาดแคลนด้านอุปทานอย่างการขาดด้านด้านอุปกรณ์/เครื่องมือ
ในส่วนนี้งบประมาณของรัฐสามารถเติมเต็มในส่วนนี้ได้
หรือสามารถสร้างระบบการเชื่อมโยงไปใช้สถานที่หรืออุปกรณ์ในมหาวิทยาลัย/โรงเรียนอาชีวะในพื้นที่ได้
แต่ถ้าเป็นการขาดแคลนทางด้านบุคลากรก็คงจะต้องมาใช้การพัฒนาทักษะผ่านการฝึกอบรม
ซึ่งปัจจุบันทาง สวทช (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ)
ก็ได้มีการฝึกอบรมครูทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว นอกจากนี้
ยังสามารถดำเนินนโยบายการให้ผู้ที่จบสายงิทยาศาสตร์
แต่ไม่ได้จบทางศึกษาศาสตร์ให้เข้ามาช่วยสอนได้ด้วย
แต่ประเด็นที่น่ากลัวกว่าการขาดแคลนทรัพยากรเหล่านี้ก็คือ
“การขาดแคลนทางทัศนคติของครูและผู้บริหารการศึกษา”
ที่ไม่ได้เห็นความสำคัญหรือคิดจะมีการปรับ เพราะถ้าเราดูที่ต้นทุนแล้วจะพบว่า
ทรัพยากรในการศึกษาด้าน STEM
นี้ไม่ได้มีต้นทุนที่สูงมากจนเอื้อไม่ถึง และตรงข้ามต้นทุนส่วนใหญ่จะเป็นต้นทุนคงที่
(Fixed Cost) ซึ่งเป็นการลงทุนในตัวอุปกรณ์เป็นสำคัญ
นอกจากนั้น การเรียนการสอนจริงๆ กลับเป็นการทำเป็นโครงการโดยนำจากครูผู้สอน
ไม่ได้จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมมากนัก
การเรียนแบบ STEM ยังเป็นการสร้างผู้ใหญ่ที่มี Mindset ของการเป็นนวัตกร
(Innovative Adult) ซึ่งจะมีคุณลักษณะดังนี้
1. ชอบที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างจากที่ผู้อื่นทำอยู่แบบเดิมๆ
โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ผลของงานที่คิดหรือสร้างสรรค์ขึ้น
มีคุณค่าเพิ่มอย่างก้าวกระโดด
สร้างความแตกต่างและได้รับการยอมรับกว่าของเดิมหรือระบบเดิม
2. เป็นผู้ที่มีลักษณะยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ทำให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานอื่นได้ง่าย ชอบทำงานร่วมกับเพื่อนต่างหน่วยงาน
หรือผู้ที่ร่วมอยู่ในเครือข่ายงานเดียวกันเพื่อแสวงหาความคิดใหม่ๆ
หรือความที่ที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยรับรู้
3. ไม่กลัวต่อการหาวิธีแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
เลือกวิธีการแก้ปัญหาด้วยการทำความเข้าใจกับปัญหาเพื่อค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาแม้จะเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา
4. ไม่กลัวที่จะแสดงความคิดเห็นในสิ่งใหม่ๆ
ที่คนทั่วไปเห็นว่าเป็นความคิดหรือการกระทำที่หลุดนอกกรอบหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้
แม้ว่าสิ่งใหม่นั้นอาจไม่เคยมีใครคิดถึง ไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือไม่เคยเห็นมาก่อน
อย่างไรก็ดี สะเต็มศึกษายังไม่ใช่ระบบการศึกษาที่เหมาะกับการเรียนการสอนแบบออนไลน์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารได้เคยกล่าวไว้ว่า
การเรียนรู้ของมนุษย์จะมาจาก 3 ทางได้แก่ 1) การฟัง, 2) การอ่าน, และ 3) การปฏิบัติจริง
โดยการผังเป็นเรื่องที่เรียนรู้ง่ายที่สุดและมนุษย์จะชอบมากที่สุด
แต่การฟังส่งผลต่อการเรียนรู้เพียงไม่ถึงร้อยละ 10
ในขณะที่การอ่านจะส่งผลต่อการเรียนรู้ประมาณร้อยละ 30 แต่ทว่า
การเรียนรู้ส่วนใหญ่ของมนุษย์จะเกิดขึ้นจากการที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง ผ่านการใช้มือ
การสัมผัส และการพูดคุย
(Hand) ดังนั้นในมุมของผม ถ้าพูดถึง STEM แบบการเรียนรู้ผ่านโครงการนั้นต้องยอมรับว่า
การเรียน Online ยังไม่สามารถเข้ามาทดแทนได้ การเรียน Online
คงเป็นแค่การเรียนในเชิงที่เรียนผ่านการ Lecture ได้เท่านั้น
ความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นเรื่องใหญ่ที่จำเป็นต้องมีนโยบายแก้ไขในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านนโยบาบการคลัง การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นเรื่องหนึ่งที่ช่วยแก้ไขได้ แต่ปัญหาก็คือ การศึกษาที่มีคุณภาพไม่ได้ถูกสร้างมาสำหรับทุกคน ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐจะช่วยได้ก็คือ จะทำอย่างไรที่จะทำให้องค์ความรู้แบบ STEM นี้มีราคาถูกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
การศึกษาแบบ STEM จะช่วยให้เด็กที่ไม่ได้มีทรัพยากรในการ “กวดวิชา” ไม่ต้องเสียเปรียบกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่วัดเพียงทักษะด้านความรู้
แต่เป็นการช่วยให้เด็กได้เรียนรู้จากการ “ปฏิบัติจริง”
ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญที่เด็กคนนั้นอาจจะออกมาเป็นคนที่ “ทำงานเป็นจริง”
และเริ่มต้นจากการเป็นผู้ประกอบการได้เลย ซึ่งการเป็นผู้ประกอบการนี้ การได้รับใบปริญญาหรือจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจะไม่มีความสำคัญในส่วนนี้
ในท้ายที่สุด ภาครัฐต้องตระหนักว่า การเรียนการสอนทางด้านสะเต็มศึกษานี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้เด็กมีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อที่จะให้เด็กโตมาเป็นนักวิทยาศาสตร์/วิศวกร/หรือนวัตกร แต่ควรเป็นการสร้างระบบการศึกษาที่ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียมกันได้ โดยนักเรียนโดยเฉลี่ยควรจะมีความรู้ในการเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น (ทั้งกับการทำงานและการดำรงชีวิต) และสามารถวิเคราะห์ถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นโดยใช้หลักแนวคิดทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว