คำกล่าวไว้เสมอว่า
การศึกษามีความสำคัญต่อการประสบสำเร็จในหน้าที่การงาน
รวมไปถึงการประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่เรียนหนังสือเก่งตั้งแต่เด็กๆ
ย่อมมีโอกาสในการเลือกเรียนคณะที่ต้องการ เลือกงานที่ชอบทำ
และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ดีกว่า จนไปถึงการเลือกคู่ครองที่ดีกว่าคนที่เรียนหนังสือไม่เก่ง
ด้วยสาเหตุดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจที่พ่อแม่จำนวนมากจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูก
โดยพยายามอยากให้ลูกของตนเรียนหนังสือให้เก่งและสอบได้อันดับที่ดีๆ ในโรงเรียนที่ดีๆ
โดยถ้าเป็นครอบครัวที่มีอันจะกินหน่อย ก็จะยิ่งพัฒนาสติปัญญาของลูกจากการเรียนพิเศษนอกห้องเรียนต่างๆ
เพิ่มเติม เช่น เรียนดนตรี เรียนกีฬา เรียนเต้นรำ เรียนภาษา เป็นต้น
อย่างไรก็ดี
ทักษะทางปัญญา (Cognitive
Skill) ที่ได้รับจากการเรียนการสอนในห้องเรียน (หรือนอกห้องเรียน)
เหล่านั้น อาจไม่ใช่เป็นปัจจัยเดียวที่จะบอกว่าเด็กคนนั้นจะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือไม่
ทั้งนี้ทักษะทางการดำเนินชีวิต (Life Skill) หรือทักษะทางด้านอารมณ์
(Non-cognitive Skill) เองก็มีความสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน โดยงานศึกษาทางจิตวิทยาจำนวนมากอธิบายว่า
การพัฒนาทักษะทางด้านด้านอารมณ์ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากในห้องเรียนแต่เพียงอย่างเดียว
แต่แท้ที่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูและจากประสบการณ์ที่คนๆ
นั้นได้รับมาตั้งแต่แรกเกิด
งานศึกษาทางจิตวิทยาลัยชิ้นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดชิ้นหนึ่ง
ได้พยายามตอบข้อสงสัยดังกล่าวด้วยขนมมาร์ชมัลโล่ (Marshmallow) เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น
โดยงานศึกษานี้มีชื่อว่า “การทดสอบขนมมาร์ชมัลโล่ หรือ Marshmallow
Test” โดยเป็นการทดสอบเชิงทดลอง (Experimental
Test) ที่ตอบคำถามว่า
- ทักษะทางด้านอารมณ์ที่สำคัญที่สุดในการอธิบายความสำเร็จของคนๆ หนึ่งนั้นได้แก่ “ทักษะในการการควบคุมคนเอง (Self-Control)” หรือ ทักษะที่ “สามารถรอคอยได้” (Control of Delaying Gratification) และ
- การประสบผลสำเร็จในชีวิตของคนๆ หนึ่ง นอกจากจะมาจากประสบการณ์ในการเรียนการสอนและการดำเนินชีวิตแล้ว ยังมาจากสิ่งที่คนๆ นั้นมาตั้งแต่แรกเกิด
- การศึกษาในระดับชั้นอนุบาลมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าระดับชั้นไหนๆ (หรืออาจจะสำคัญกว่าเสียด้วยซํ้า)
การทดสอบมาร์ชมัลโล่ (Marshmallow Test) ได้ถูกกระทำขึ้นในช่วงปลายปี ค.ศ.1960 ถึงต้น ค.ศ.1970 โดยศาสตราจารย์ Walter Mischel ซึ่งในขณะนั้นเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด
(Stanford
University) โดยได้ทำการทดสอบเด็กกว่า 600 คน ที่มีอายุระหว่าง 4-6
ขวบ ในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง โดยผู้ทำสอบให้เด็กเหล่านั้นเลือกขนมที่ตัวเองชอบ
เช่น มาร์ชมัลโล่ คุ้กกี้ พาเซล ขนมเค้ก โดยให้เด็กนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องนั้นคนเดียวพร้อมกับขนมที่ตัวเองชอบ
1 ชิ้น โดยผู้ทำการทดสอบได้บอกเด็กว่า หลังจากเขาเดินออกจากห้องแล้ว เด็กคนนั้นสามารถที่จะกินขนมได้
แต่ถ้าเด็กคนนั้นสามารถรอคอยที่จะไม่กินได้ถึง 15 นาที เด็กคนนั้นจะได้ขนมเพิ่มอีก
1 ชิ้น โดยผู้สังเกตการณ์ได้ทำการตรวจสอบพฤติกรรมของเด็กคนนั้นๆ
ผ่านกระจกเงาทั้งสองด้านพร้อมกับการอัดวีดีโอเก็บไว้ โดยจากการสำรวจพฤติกรรมระหว่างที่ทำการทดสอบพบว่า
เด็กบางคนใช้วิธีการปิดตาเพื่อจะไม่ได้เห็นขนมนั้น
บางคนพยายามนั่งมองและตัดสินใจว่าจะกินดีหรือไม่ บางคนเตะโต๊ะ/ทุบโต๊ะ เด็กบางคนพยายามอดทดสักระยะจนท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทำได้และตัดสินใจที่จะกินขนม
และบางคนเลือกที่จะกินขนมนั้นทันทีเมื่อผู้สังเกตการณ์เดินออกจากห้อง
ในอีกหลายปีผ่านไป
ทางทีมวิจัยได้ติดตามประเมินผลเด็กกลุ่มนั้น โดยครั้งแรกในปี ค.ศ.1988
พบว่าเด็กที่สามารถควบคุมตัวเองโดยไม่กินขนม (หรือรอคอยได้ในระยะเวลานานกว่าเพียง
2-3 นาที) จะเติบโตเป็นวัยรุ่นที่แข็งแรงกว่า (โดยทดสอบจากค่าดัชนีมวลรวมกาย)
และมีโอกาสติดสารเสพติดน้อยกว่า
การประเมินผลในครั้งที่สองในปี
ค.ศ.1990 พบว่าเด็กที่สามารถควบคุมตัวเองโดยไม่กินขนมจะมีผลคะแนนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
(หรือการสอบ SAT)
สูงกว่าและสามารถเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ดีกว่า
การประเมินครั้งที่ 3
ในปี ค.ศ.2011 ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กเหล่านั้นอยู่ในวัยกลางคน
โดยได้ทำสแกนสมองโดยพบว่า
ผู้ใหญ่ที่ตอนเด็กได้ทำการทดสอบนี้และสามารถรอคอยที่จะไม่กินขนมได้นานกว่าจะมีระดับสมองที่มีทั้งสติปัญญาและมีทักษะทางอารมณ์ที่ดีกว่า
ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่า
รวมถึงยังมีชีวิตการแต่งงานที่ดีกว่าด้วย
การทดสอบมาร์ชเมลโล่นี้ได้ชี้ให้เห็นว่า
การพัฒนาทุนมนุษย์ควรเริ่มทำตั้งแต่แรกเกิดโดยครอบครัวมีความสำคัญมาก
ไม่ใช่จะรอจากระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนแต่เพียงอย่างเดียว
โดยเฉพาะการพัฒนาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล
โดยการมีทักษะทางอารมณ์ที่ดีตั้งแต่วัยเด็กจะมีนัยสำคัญต่อคนๆ นั้นในอนาคต
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อครับว่า
ความสามารถในการอดทนรอและการควบคุมตัวเองของเด็กอนุบาลวัยเพียง 4-6
ขวบจะมีนัยสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากขนาดนั้น ถ้าเรามาดูในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การดำเนินชีวิตที่ต้องแข่งขันเพื่อให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
อันส่งผลทำให้เด็กในยุคนี้เริ่มที่จะมีความอดทนน้อยลง
ซึ่งถ้าเรานำเอาผลที่พบจากการทดสอบมาร์ชมัลโล่ (Marshmallow Test) นี้มาวิเคราะห์
เราก็น่าจะสามารถพอเดากันได้ครับว่า “ทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตของเรานั้นน่าเป็นห่วงเพียงใด?”